ต้นตะกูยักษ์ ไม้เศรษฐกิจตัวใหม่ ปลูกง่าย โตเร็ว
ต้นตะกู มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น ตุ้มหลวง ตุ้มเนี่ยง ตุ้มพราย ทุ่มพราย กระทุ่มบก ตะกูเป็นต้น ต้นตะกูเป็นไม้ขนาดใหญ่ สูง 15 – 30 เมตร กิ่งออกเกือบตั้งฉากกับลำต้น แผ่นใบเกลี้ยงหรือมีขนนุ่มสั้นอยู่ด้านล่าง หูเป็นรูปสามเหลี่ยม ดอกสีเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อกระจุกแน่น กลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 – 5 ซ.ม.ก้านช่อยาว 3 – 4 ซ.ม. ดอกเล็กอัดกันแน่น กลีบเลี้ยงเป็นหลอดสั้น กลีบดอกสีเหลือง
เชื่อมกันเป็นหลอดยาวรูปดอกเข้ม ผลเป็นกระจุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสีน้ำตาลเมื่อแก่ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น ตามหุบเขาหรือริมลำธาร
ต้นตะกูอาจจะไม่คุ้นหู เพราะใกล้สูญพันธ์ในประเทศไทยแล้ว ต้นตะกูยังมีคุณสมบัติพิเศษ คือ ทนต่อความแห้งแล้ง ปลูกง่าย โตเร็ว เพียงแต่ช่วง 1 – 3 เดือนต้องรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ต้นตะกูเริ่มมีการปลูกบ้างแล้วในหลายพื้นที่ และน่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจชนิดใหม่ที่สามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกร หรือนักลงทุน ได้ไม่น้อยกว่า ไม้สัก ยางพารา หรือยูคาลิปตัส
การกระจายพันธ์และนิเวศวิทยา : จากอินเดีย จนถึงมาเลเซีย พบขึ้นตามป่าดิบและป่าเบญจพรรณที่ชุ่มชื้นใกล้น้ำ ที่ระดับความสูง 500-1500 เมตร
ประโยชน์ : เนื้อไม้ละเอียด สีเหลืองหรือขาว ใช้ทำพื้นและฝาที่ใช้งานในร่ม และทำเยื่อกระดาษได้
มีต้นกล้าขาย มีแปลงเพาะสนใจนัดดูได้ครับ ขนาดต้นมีประมาณ 7 ใบ สามารถนำไปปลูกลงแปลงได้เลยครับ อยู่ที่ กรุงเทพ ครับ
ติดต่อ ศูนย์ แปด หก เจ็ด สี่ ศูนย์ สอง ห้า แปด ศูนย์
การใช้ประโยชน์ ต้นตะกู |
การป้องกันโรคแมลงและศัตรูธรรมชาติ
ตะกู เป็นพรรณไม้เบิกนำซึ่งตามธรรมชาติจะขึ้นเป็นกลุ่มล้วน ๆ ฉะนั้นศัตรูธรรมชาติ เช่น โรคและแมลงจึงมีน้อยกว่าพรรณไม้ดั้งเดิมที่ชอบขึ้นเดี่ยว ๆ แต่อย่างไรก็ตามที่ในซึ่งไม้ตะกูขึ้นอย่างหนาแน่นอาจพบหนอนผีเสื้อ Arthroschita hilaralis (pyralidae) เจาะทำลายบ้าง นอกจากนี้อาจพบพวกนีมาโทดจำพวกMeloidogyne sp. เกาะทำลายเรือนรากทำให้ต้นไม้ตายได้ ในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ จากการทดลองกับต้นตะกูอายุ 6 เดือน พบว่าตะกูส่วนใหญ่จะติดเชื้อด้วยโรคจากนีมาโทดชนิดนี้และจากการใช้ยาดีดีทีในอัตรา 40 ลิตร/ไร่ ฉีดพ่นให้ต้นไม้เจริญเติบโตดีขึ้น สำหรับโรคราในแปลงเพาะกล้าไม้ตะกูนั้น เท่าที่พบโรคเน่าคอดิน (dumping off) จะเป็นอันตรายที่สุดในระยะเริ่มแรก Bholachai , p.(1976) พบว่าหากหว่านเมล็ดตะกูลงในพื้นที่ขนาด 30 x45 ซม.2 โดยใช้เมล็ดหนักมากกว่า 3 กรัม แล้วจะทำให้เกิดโรคเน่าคอดินอย่างรุนแรงเนื่องจากกล้าไม้มีความหนาแน่นมากเกินไปและขนาดความหนาแน่นที่เหมาะสมที่สุดคือใช้เมล็ดหนักประมาณ 0.5 – 3 กรัม ต่อพื้นที่ขนาดดังกล่าว
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
- การรับซื้อคืน ไม้ 1 ปี ขนาดความสูง 10 เมตร ขึ้นไป ซื้อต้นละ 60 บาท
- การรับซื้อคืน ไม้ 5 ปี ขนาดเส้นรอบวง 150 เซนติเมตร ขึ้นไป วัดจากโคนต้น ซื้อต้นละ 2,500 บาท
ข้อมูล ไม้ตะกู
(Anthocephalus chinensis Rich. ex Walp.)
1. คำนำ
ไม้ตะกูอยู่ในวงศ์ Rubiaceae มีชื่อสามัญรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นว่า ไม้กระทุ่มหรืกระทุ่มบก (ภาคกลางและภาคเหนือ) ตะโกใหญ่ หรือตะโกส้ม (ภาคตะวันออก) และตุ้มขี้หมู (ภาคใต้) ไม้ตะกูเป็นไม้เบิกนำที่เจริญเติบโตได้เร็วมากชนิดหนึ่ง ขึ้นเป็นกลุ่มเป็นก้อนในพื้นที่ป่าที่ถูกแผ้วถางแล้วปล่อยทิ้งไว้เป็นไร่ร้าง เป็นไม้ที่มีวัยตัดฟันสั้นสามารถขึ้นได้ในสิ่งแวดล้อมหลายสภาพ แตกหน่อได้ดี มีปัญหาเกี่ยวกับโรคและแมลงทำลายน้อย เนื้อไม้สามารถนำไปใช้เป็นไม้แปรรูปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมทำเยื่อและกระดาษ ไม้บาง ไม้อัด ไฟเบอร์บอร์ด พาร์ติเคิลบอร์ด และใช้ในโรงงานทำไม้ขีดไฟได้ดี
2. ลักษณะทั่วไป
ตะกูเป็นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นในป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้งหรือตามริมน้ำของป่าผลัดใบ เรือนยอดเป็นพุ่มกลม กิ่งตั้งฉากกับลำต้น เปลือกสีเทาปนน้ำตาลค่อนข้างเรียบ เนื้อไม้สีเหลืองอ่อน ใบเดี่ยวเรียงตังตรงข้ามเป็นคู่ ๆ มีขนาดประมาณ 5-12 x 10-24 ซม. ปลายใบมนหรือเป็นติ่งแหลม โคนใบป้าน เนื้อใบค่อนข้างหนา หลังใบมีขนสาก ๆ และมีสีเข้มกว่าทางท้องใบ ท้องใบมีขนนุ่ม และจะหลุดร่วงไปเมื่อใบแก่ เส้นแขนงใบมี 7-14 คู่ เห็นชัดทั้งสองด้าน
ดอกตะกูมีขนาดเล็กติดกันแน่นอยู่บนช่อดอกแบบ Head สีขาวปนเหลืองหรือสีส้ม กลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกเป็นช่อกลมเดี่ยวหรือเป็นกระจุกไม่เกิน 2 ช่อ อยู่ตามปลายกิ่ง ผลตะกูเป็นผลเดี่ยวโดยเรียงกันแน่นเป็นก้อนกลมอยู่บนช่อดอก เรียกผลแบบนี้ว่า Fruiting Head มีขนาดความโตวัดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5-
ตะกูเป็นไม้ที่ออกดอกเมื่ออายุยังน้อย ที่ศูนย์บำรุงพันธุ์ไม้กระยาเลยกำแพงเพชร พบว่าเริ่มออกดอกเมื่อมีอายุประมาณ 4 ปี สำหรับต้นที่โตเต็มที่แล้วจะออกดอกในช่วงระหว่างเดือน มิถุนายน-กันยายน หลังจากนั้นผลจะแก่ในช่วงเดือน กันยายน-ตุลาคม
3. การกระจายพันธุ์
ตะกูพบในประเทศอินเดีย เนปาล ไทย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฯลฯ ไม้ชนิดนี้เชื่อว่ามีขอบเขตการกระจายพันธุ์กว้างชนิดหนึ่ง โดยกระจายพันธุ์จากเนปาลและอัสสัมมาทางทิศตะวันออกจนถึงแถบอินโดจีน และกระจายพันธุ์ลงไปทางใต้แถบมาเลเซีย อินโดนีเซีย จนกระทั่งถึงหมู่เกาะนิวกินี ปกติแล้วตะกูจะขึ้นเจริญงอกงามได้ดีที่สุดในที่ดินลึกและมีความชุ่มชื้นสูง เช่น บนดินตะกอนริมฝั่งแม่น้ำ และขึ้นได้ตั้งแต่ที่ราบริมทะเลไปจนถึงระดับความสูง
ในประเทศไทยตะกูมีการกระจายพันธุ์แทบทุกภาคของประเทศ โดยพบที่ เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ตาก แพร่ กำแพงเพชร อุทัยธานี เลย เพชรบูรณ์ นครราชสีมา ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง ชลบุรี ตรัง สตูล และภูเก็ต โดยมักพบต้นตะกูขึ้นเป็นกลุ่มล้วน ๆ ในป่าดั้งเดิมที่ถูกแผ้วถางแล้วปล่อยทิ้งร้างไว้ หรือสองข้างทางรถยนต์ที่ตัดผ่านป่าที่ค่อนข้างชุ่มชื้น เช่นป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง เป็นต้น
4. การขยายพันธุ์
ตะกูสามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศ (โดยใช้เมล็ด) และไม่อาศัยเพศ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการขยายพันธุ์
4.1 การขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เนื่องจากช่อผล (fruiting head) หนึ่ง ๆ ของตะกูจะให้เมล็ดเป็นจำนวนมาก โดยประมาณกันว่าใน 1 ช่อผล (ซึ่งมีประมาณ 110 ผล) จะให้เมล็ดถึง 89,500 เมล็ด ดังนั้นการขยายพันธุ์เพื่อการปลูกสร้างสวนป่าจึงนิยมใช้เมล็ดเพื่อการขยายพันธุ์ เพราะสามารถเตรียมกล้าไม้ได้เป็นจำนวนมากและง่ายในการดูแลรักษา
4.1.1 การเก็บผลตะกู ผลตะกูเมื่อแก่เต็มที่แล้วจะมีสีเหลืองเข้ม วิธีการเก็บผลกระทำได้โดยการปีนขึ้นไปเก็บบนต้นหรือใช้ไม้สอย ผลที่แก่เต็มที่เมื่อสอยลงมาจากต้นและนำไปเพาะจะมีอัตราการงอกดีกว่าเมล็ดที่ได้จากผลที่หล่นลงมาเอง เนื่องจากเมล็ดที่หล่นลงมาเองจะเน่าก่อนนำไปเพาะเป็นจำนวนมาก สำหรับการแยกเมล็ดออกจากผลนั้นกระทำโดยการฝานเอาเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณผิวของช่อผลออก แล้วขยี่แยกผลและเมล็ดออกจากแกนช่อผลก่อนนำไปผึ่งแดดให้แห้ง แล้วนำไปคลุกยาฆ่าเชื้อราเพื่อนำไปเก็บไว้ในภาชนะหรือขวดที่มีฝาปิด
ผลแก่
4.1.2 การเพาะเมล็ด
4.1.2.1 ฤดูทำการเพาะ การเพาะเมล็ดตะกูควรกระทำในระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม เพราะระยะเวลาดังกล่าวจะทำได้สะดวกและได้ผลดีเนื่องจากหมดหน้าฝนและอากาศไม่ร้อนจนเกินไป และอีกอย่างหนึ่งกว่าจะย้ายถุงลงชำได้ก็ต้องหลังจากงอกแล้วประมาณ 3 เดือน กล้าไม้จะต้องอยู่ในถุงชำอีกอย่างน้อย 4 เดือน ซึ่งจะมีความสูงประมาณ 25-30 เซนติเมตร ขนาดดังกล่าวนับว่าเหมาะสมที่จะใช้ปลูกได้พอดีในเดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม
4.1.2.2 แปลงเพาะเมล็ด แปลงเพาะเมล็ดควรจะให้ร่มเงาบ้าง ทั้งนี้เนื่องจากเมล็ดใหม่จะงอกได้ดีถ้าหากมีร่มเงาประมาณ 50 % แต่เมล็ดเก่าจะงอกได้ดีในที่โล่งแจ้ง ขนาดของแปลงเพาะควรจะกว้าง 1 เมตร สำหรับความยาวนั้นแล้วแต่ความเหมาะสม ความกว้างขนาดดังกล่าวทำให้การปฏิบัติงานในแปลงเพาะเป็นไปอย่างสะดวกและง่ายต่อการคำนวณเนื้อที่ที่จะใช้หว่านเมล็ดลงไป ขอบแลงก่อด้วยอิฐมอญหรืออิฐบล็อค ซึ่งจะทำให้แข็งแรงทนทานและสะดวกต่อการเตรียมดิน เหาะสำหรับการเพาะและดูแลรักษาต้นไม้ ลักษณะของก้นแลงควรจะเป็นแบบเปิดหรือไม่มีก้น ทั้งนี้เพื่อให้น้ำฝนหรือน้ำที่รดที่มีจำนวนมากเกินพอซึมลงไปในดินได้สะดวก แต่ละแปลงควรจะมีฝาครอบแปลงซึ่งด้านบนบุด้วยลวดตาข่ายสำหรับป้องกันสัตว์หรือแมลงที่ชอบกินหรือทำความเสียหายแก่เมล็ดและกล้าไม้ ส่วนมากจะใช้ฝาครอบนี้เฉพาะเวลากลางคืน สำหรับกลางวันจะเปิดให้ได้รับแสงเต็มที่ เพื่อช่วยให้เมล็ดงอกได้เร็วขึ้น
4.1.2.3 ดินสำหรับเพาะเมล็ด ควรจะเป็นดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี สำหรับดินในกรณีอื่นควรจะผสมทรายลงไปด้วยประมาณ 50 % ดินที่จะใช้ควรทุบให้ละเอียดโดยแยกเอาเศษไม้ หินและกรวดออกเสียก่อน แล้วค่อยนำไปใส่ลงในแปลงเพาะ โดยใส่ให้เต็มเสมอกับขอบแปลง เสร็จแล้วใช้ไม้เหลี่ยมตบแต่งหน้าดินโดยเกลี่ยให้เสมอกับขอบแปลงทุกด้าน ก่อนหว่านเมล็ดลงไปในแปลงเพาะให้รดน้ำดินเสียก่อน แล้วทิ้งไว้สักระยะหนึ่งเพื่อให้ดินเกาะตัวแล้วจึงค่อยหว่านเมล็ดลงไป
4.1.2.4 การหว่านเมล็ด เมล็ดตะกูมีขนาดเล็กมาก (เฉลี่ยแล้วเมล็ดหนึ่งจะยาวประมาณ 0.66 มม. กว้างประมาณ 0.44 มม. ) และมีกากซึ่งเป็นส่วนของผลปนอยู่ด้วย ซึ่งสามารถมองเห็นความแตกต่างด้วยตาเปล่าได้ เพื่อจะกะจำนวนเมล็ดให้ได้พอเหมาะกับขนาดของพื้นที่ที่เราจะทำการหว่าน ควรทดลองหว่านเมล็ดลงในกระดาษกร๊าฟเพื่อเป็นการซ้อมมือในพื้นที่ 1 ตารางเมตรเสียก่อน โดยให้มีระยะถี่ห่างพอสมควร เสร็จแล้วนำเมล็ดที่หว่านลงไปทั้งหมดมาชั่งดูอีกที ด้วยวิธีดังกล่าวเราก็อาจทราบได้โดยประมาณว่าควรจะใช้เมล็ดต่อเนื้อที่สักเท่าใด
การหว่านเมล็ดตะกูนี้เพื่อความสะดวกและรวดเร็วควรใช้มือหว่านแบบกระจัดกระจาย (Broadcast sowing) โดยให้มีระยะสม่ำเสมอคลุมพื้นที่โดยตลอดและคอยระวังอย่าให้เมล็ดซ้อนกัน เมื่อหว่านเมล็ดเสร็จแล้วให้ใช้ไม้เหลี่ยมที่เกลี่ยดินกดทับเมล็ดให้ฝังลงไปในดิน โดยให้ส่วนบนสุดของเมล็ดเสมอกับผิวดิน ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้เมล็ดซ้อนกันหรือรวมกันเป็นกลุ่มในเวลาที่เรารดน้ำ จากนั้นใช้ทรายโรยกลบลงไปบนเมล็ดบาง ๆ อีกทีหนึ่งเพื่อทรายดังกล่าวจะช่วยให้น้ำที่เรารดซึมลงไปในแปลงได้สะดวก และช่วยไม่ให้น้ำขังบนหน้าแปลงอีกด้วย
4.1.2.5 การรดน้ำแปลงเพาะ ในขณะที่เมล้ดยังไม่งอกควรรดน้ำทั้งเช้าและเย็น เพื่อให้ดินในแปลงชื้นอยู่เสมอ โดยใช้บัวรดน้ำชนิดที่หัวเป็นฝอยละเอียดเพื่อลดแรงกระแทกของน้ำ น้ำที่ใช้รดกล้าจะให้ดีควรผสมยาฆ่าเชื้อราลงไปด้วย โดยทั่วไปเมล็ดจะงอกหลังจากการเพาะไปแล้วประมาณ 10-14 วัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเมล็ดและสภาพของดินฟ้าอากาศ จากการทดลองพบว่าหากเก็บเมล็ดในสภาพชื้นที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส นาน 1-2 สัปดาห์ จะทำให้เมล็ดตะกูมีอัตราการงอกที่ดีขึ้นและหลังจากเมล็ดงอกแล้วควรจะลดการให้น้ำลง จนเห็นว่าดินในแปลงนั้นแห้งจริง ๆ จึงค่อยรดน้ำเท่าที่จำเป็นซึ่งอาจเป็นวันละครั้งในตอนเย็นหรือวันเว้นวัน เพื่อป้องกันมิให้กล้าไม้เกิดโรคเน่าคอดินได้
4.1.3 การย้ายชำ
4.1.3.1 ขนาดถุงพลาสติก ถุงพลาสติกสำหรับบรรจุดินเพื่อชำกล้าไม้ตะกูควรใช้ขนาด 4 x 6 นิ้ว หนา 0.10 มม. น้ำหนัก 1 กก. จะมีจำนวนถุงประมาณ 700 ถุง ถุงพลาสติกก่อนนำไปบรรจุดินต้องใช้ที่เจาะปะเก็นเจาะรูเสียก่อน เพื่อช่วยระบายน้ำเวลารดน้ำ หรือฝนตกมากเกินไป เพราะถ้าหากให้น้ำขังในถุงชำแล้วอาจทำให้เกิดโรคเน่าคอดินแก่กล้าไม้ได้
4.1.3.2 ดินสำหรับบรรจุงชำ ดินที่ใช้บรรจุถุงพลาสติกเพื่อชำกล้าไม้เป็นหน้าดินจากป่าธรรมชาติ ซึ่งควรจะเป็นดินร่วนปนทรายซึ่งมีการระบายน้ำได้ดีเช่นเดียวกับดินที่ใช้ในการเพาะเมล็ด จากนั้นนำดินมาผสมกับทรายและขีเถ้าแกลบในอัตราส่วน 1:1:1 โดยใช้พลั่วผสมคลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วบรรจุดินใส่ถุงพลาสติกที่เจาะรูเตรียมไว้กระแทกก้นถุงให้แน่นและใช้มือขยุ้มพับก้นถุงให้แบนราบเพื่อสะดวกต่อการจัดเรียงเป็นแปลง ๆ
4.1.3.3 การชำกล้าไม้ กล้าไม้ตะกูหลังจากงอกแล้วจะมีอัตราการเจริญเติบโตช้ามาก จากการทดลองย้ายชำที่ศูนย์บำรุงพันธุ์ไม้กระยาเลยกำแพงเพชร พบว่ากล้าไม้ที่มีอายุประมาณ 3 เดือน ซึ่งมีขนาดความสูงราว 2-2.5 ซม. จะมีอัตราการรอดตายประมาณ 80 % สำหรับการให้ร่มกล้าไม้นั้นจะให้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศเพราะถ้าให้ร่มมากเกินไปจะทำให้ได้กล้าไม้ที่ไม่แข็งแรง เพราะจะเจริญเติบโตทางด้านความสูงเร็วเกินไป ทำให้ลำต้นคดงอ ยอดอ่อน และยังเกิดโรคต่าง ๆ ได้ง่าย ถ้าให้ร่มน้อยไปอาจทำให้กล้าไม้ที่เราย้ายชำลงไปรอดตายน้อย เนื่องจากถูกแดดแรงมากเกินไป
การถอนหรือขุดกล้าในแปลงเพาะชำเพื่อนำกล้ามาชำในถุงดินนี้ ควรต้องรดน้ำในแปลงเพาะให้ชุ่มเสียก่อน เพื่อจะได้ถอนกล้าไม้ได้สะดวก กล้าไม้ที่ถอนขึ้นมาจากแปลงเพาะควรจะพักหรือเก็บไว้ในถังหรือขันพลาสติกซึ่งมีน้ำบรรจุอยู่เพื่อมิให้กล้าเหี่ยว การถอนกล้าไม้เพื่อชำครั้งหนึ่ง ๆ ไม่ควรถอนเป็นจำนวนมาก ควรกะให้ชำแล้วเสร็จพอดีภายใน 2-3 ชั่วโมง
ก่อนชำกล้าไม้ลงถุงควรใช้ไม้แท่งกลมขนาดโตวัดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 ซม. ยาวพอประมาณ เสี้ยมปลายแหลมด้านหนึ่งคล้ายแท่งดินสอ แทงนำลงไปในถุงชำที่ได้รดน้ำเปียกโชกแล้ว โดยกะให้รูนั้นอยู่ตรงกึ่งกลางถุงพอดี แล้วจึงค่อยชำกล้าไม้ลงทีหลัง เวลาชำให้นำส่วนรากของกล้าไม้ใส่เข้าไปในรูดังกล่าว แล้วกดดินโคนต้นกล้าให้แน่นเพื่อป้องกันมิให้รากพับหรือบิดงอ และอย่าให้เกิดช่องว่างภายในรูนั้น หลังจากนั้นรดน้ำทันที่โดยใช้บัวรดน้ำชนิดเดียวกับที่ใช้รดน้ำกล้าไม้ในแปลงเพาะ
4.1.4 การดูแลรักษา
4.1.4.1 การรดน้ำ ในระยะแรกหลังจากย้ายชำกล้าไม้ใหม่ ๆ ควรจะรดน้ำในถุงชำทั้งเช้าและเย็นเพื่อให้กล้าไม้ตั้งตัวได้เร็ว เมื่อกล้าไม้ตั้งตัวได้และได้โรยทรายหยาบหน้าถุงชำแล้ว รดเช้าเพียงวันละครั้งในตอนเช้าก็เพียงพอ เพราะถ้าให้น้ำมากเกินไปจะทำให้กล้าไม้เติบโตทางความสูงเร็วเกินไป ซึ่งจะทำให้ต้นอ่อนคองอและหักล้มได้ง่าย
4.1.4.2 การถอนวัชพืช เพื่อป้องกันมิให้วัชพืชขึ้นเบียดเสียดแย่งอาการในถุงชำกล้าไม้ตะกู ควรทำการถอนวัชพืชอย่างน้อยเดือนละครั้ง ปกติจะถอนวัชพืชภายหลังจากการถอนกล้าไม้เสร็จแล้วใหม่ ๆ เพราะดินในถุงชำยังอ่อนอยู่ ซึง่จะทำให้การถอนวัชพืชดังกล่าวทำได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันเมื่อถอนวัชพืชแล้วก็แต่งดินหรือทรายหน้าถุงชำนั้นให้เรียบร้อย
4.1.4.3 การตัดราก เนื่องจากหากปล่อยให้รากหยั่งลึกลงไปในดินนอกถุงชำแล้ว เวลาจะขนกล้าไม้ไปปลูกจะทำให้ระบบรากได้รับความกระทบกระเทือนมาก และอาจทำให้ต้นไม้ตายได้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องตัดรากด้วยวิธีลากถุงหรือเลื่อนถุงชำกล้าไม้โดยใช้มือจับกึ่งกลางถุง กดให้ถุงแนบติดกับพื้นดินในขณะที่เราทำการเลื่อนหรือลากถุงก็จะทำให้รากดังกล่าวนั้นขาดได้ การตัดรากควรจะกระทำอย่างน้อย 2 เดือนต่อครั้ง
4.1.4.4 การจัดแยกชั้นความสูง เป็นการเรียงต้นไม้ตามลำดับตั้งแต่สูงที่สุดไปหาต่ำที่สุด เพื่อเปิดโอกาสให้กล้าไม้ทุกต้นได้รับแสงสว่างอย่างทั่วถึง ซึ่งจะทำให้กล้าไม้เจริญเติบโตเร็วและมีความแข็งแรง กับทั้งยังมีความสะดวกในการคัดเลือกนำกล้าไม้ไปปลูกอีกด้วย
4.2 การขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ
การขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศนั้นเป็นการขยายพันธุ์แบบที่ไม่ใช้เมล็ดในการขยายพันธุ์ ได้แก่ การตัดชำ การติดตา การต่อกิ่ง เป็นต้น การตัดชำกิ่งไม้ตะกูนั้นได้ทดลองกระทำที่ศูนย์บำรุงพันธุ์ไม้กระยาเลยกำแพงเพชร แต่ก็เป็นเพียงการสังเกตเบื้องต้นเท่านั้น การปฏิบัติใช้วิธีคล้ายกับการตัดชำกิ่งไม้สนประดิพัทธ์ โดยตัดกิ่งอ่อนจากต้นที่ปลูกไว้อายุประมาณ 2-3 ปี แล้วชำลงในดินร่วนปนทรายในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ โดยไม่มีการใช้ฮอร์โมนช่วยกระตุ้นรากแต่ประการใด ผลการทดลองกระทำในเรือนเพาะชำประสพผลสำเร็จประมาณ 20 % เท่านั้น ซึ่งยังจะต้องมีการปรับปรุงการทดลองต่อไป
สำหรับการทดลองขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศวิธีอื่นที่ศูนย์บำรุงพันธุ์ไม้กระยาเลยกำแพงเพชรนั้น พบว่าไม้ตะกูสามารถติดตาได้ดีในเดือนมกราคม โดยใช้วิธี T-budding และสามารถต่อกิ่งได้ดีในเดือนมิถุนายน โดยใช้วิธีการต่อกิ่งแบบเข้าลิ้น ส่วนการเสียบยอดก็พบว่าสามารถกระทำได้ดีเช่นเดียวกัน ซึ่งการขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศเหล่านี้ เป็นเพียงการทดลองทางวิชาการเพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ไม้ตะกู เพื่อสร้างสวนผลิตเมล็ดพันธุ์สำหรับการปลูกสร้างสวนป่าต่อไปเท่านั้น
5. การเตรียมพื้นที่ปลูก
พื้นที่ที่จะใช้ทำการปลูกสร้างสวนป่าจะต้องจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยก่อนถึงฤดูการปลูก คือจะต้องเตรียมพื้นที่ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนเมษายนเป็นอย่างช้า การถางป่าควรถางไม้ชั้นล่างตากไว้ให้แห้งเสียก่อน แล้วจึงโค่นไม้ใหญ่ทับกองในภายหลัง ทั้งนี้เพื่อหวังผลในการเก็บสุมเผา ทำให้งานเก็บริบเผาริบน้อยลงเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย การเตรียมพื้นที่ปลูกที่ดีจะช่วยให้การเจริญเติบโตของต้นไม้เป็นไปได้อย่างดี เป็นการเปิดโอกาสให้กล้าไม้ที่ปลูกได้รับแสงสว่างอย่างเต็มที่ และการเก็บริบสุมเผาเศษไม้เก่ายังเป็นการกำจัดโรคและแมลงอีกทางหนึ่งด้วย และหากเป็นไปได้ก็ควรทำการไถพรวนพื้นที่ด้วยรถแทรกเตอร์ เพราะนอกจากจะเป็นการพลิกดินให้ร่วนซุยแล้วยังเป็นการกำจัดวัชพืชอีกทางหนึ่ง อันจะส่งผลดีทำให้กล้าไม้ตั้งตัวและเจริญเติบโตได้รวดเร็วขึ้น สำหรับพื้นที่ที่ไม่สามารถจะนำเครื่องจักรกลหรือรถแทรกเตอร์เข้าไปปฏิบัติงานได้ เช่น พื้นที่ต้นน้ำลำธารที่เป็นภูเขาสูงชัน การเตรียมหลุมปลูกให้กว้างใหญ่ก็จะช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดีเช่นเดียวกัน
6. การปลูกและระยะปลูก
ก่อนที่จะมีการปลูกต้นไม้จะต้องมีการกำหนดระยะปลูกเสียก่อน เพื่อให้สวนป่าเป็นแถวเป็นแนวมีระเบียบ มีการเจริญเติบโตสม่ำเสมอกัน การกำหนดระยะปลูกปกติใช้หลักไม้ไผ่หรือไม้อื่นใดที่มีลักษณะใกล้เคียงกันทำการปักหลักหมายจุดที่จะปลูกลงบนพื้นที่ ทั้งนี้การกำหนดระยะปลูกจะถี่หรือห่างขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์เป็นสำคัญ สำหรับไม้ตะกู ดร. สมศักดิ์ สุขวงศ์ (2522) ได้แนะนำว่าควรเริ่มต้นระยะปลูกด้วย 2-3 เมตร เพื่อหวังผลในการช่วยปกคลุมวัชพืชในเวลาต่อมา แต่ที่ศูนย์บำรุงพันธุ์ไม้กระยาเลยกำแพงเพชร ใช้ระยะปลูก 4 x 4 เมตร เนื่องจากได้พิจารณาเห็นได้ว่าไม้ตะกูเป็นไม้ที่โตเร็วมากและระยะปลูกดังกล่าวก็เหมาะที่จะนำเครื่องจักรกลเข้าไปใช้งาน
การปลูกไม้ตะกูก็เช่นเดียวกับการปลูกพรรณไม้ชนิดอื่น ๆ โดยทั่วไป ส่วนใหญ่จะปลูกกันในตอนต้นฤดูฝนคือประมาณเดือนมิถุนายนไปถึงเดือนสิงหาคม เพราะการปลูกตั้งแต่เริ่มฤดูฝนจะช่วยให้ต้นไม้ตั้งตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากมีระยะเวลาการเจริญเติบโตได้นานกว่าจะถึงฤดูแล้งต่อไป
วิธีการปลูกนั้นก่อนอื่นจะต้องเตรียมหลุมปลูกตามตำแหน่งที่ปักหลักหมายไว้ โดยการขุดหลุมให้มีขนาดใหญ่กว่าขนาดของถุงกล้าไม้ประมาณ 2 เท่า ลึกเท่าคอรากของกล้า เมื่อเตรียมหลุมเสร็จก็ขนย้ายกล้าไม้ไปปลูก โดยพยายามให้กล้าไม้ได้รับความกระทบกระเทือนน้อยที่สุด ก่อนปลูกต้องกรีดถุงแล้วดึงพลาสติกที่บรรจุกล้าไม้ออก จากนั้นจึงวางกล้าไม้ลงในหลุมพยายามให้คอรากของกล้าไม้เสมอกับผิวดิน กลบหลุมปลูกด้วยหน้าดินที่ขุดขึ้นมา อัดดินให้แน่นพอสมควร มัดลำต้นของกล้าไม้ให้ติดกับไม้หลักเพื่อช่วยให้ลำต้นตั้งตรงและป้องกันการพัดโยกจากลม
7. การบำรุงรักษาสวนป่า
การบำรุงรักษาสวนป่านี้นับว่าเป็นหัวใจสำคัญในการปลูกสร้างสวนป่าเท่า ๆ กับการปลูกป่า ทั้งนี้เพราะหลังจากการปลูกสร้างสวนป่าเต็มพื้นที่แล้ว หากไม่ได้รับการบำรุงรักษาที่ดีแล้วการปลูกป่าก็จะไม่ได้ผล การบำรุงรักษามีขั้นตอนดังนี้
7.1 การปลูกซ่อม ภายหลังการปลูกประมาณ 30-60 วัน ควรจะได้ตรวจสอบเปอร์เซ็นต์การรอดตายของกล้าไม้ตะกู และทำการปลูกซ่อมต้นไม้ที่ตายทันที ทั้งนี้อยู่ในระยะปลายฤดูฝนหรือยังมีฝนตกอยู่
7.2 การปราบวัชพืช ควรทำเมื่อวัชพืชนั้น ๆ จะปกคลุมต้นไม้จนเป็นเหตุให้การเจริญเติบโตไม่ดี ควรทำครั้งแรกให้แล้วเสร็จในปลายฤดูฝนหรือหมดฝนแล้ว ปกติจะทำในราวเดือนพฤศจิกายน สำหรับปีต่อไปควรจะถางวัชพืชในตอนต้นฤดูฝนเพื่อให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้เต็มที่ และควรทำอีกครั้งในตอนปลายฤดูฝน เพื่อป้องกันไฟมิให้ลุกไหม้สวนป่าเสียหาย
7.3 การทำแนวกันไฟ ควรดำเนินการให้เสร็จก่อนเดือนกุมภาพันธ์ หากเป็นไปได้ควรใช้รถแทรกเตอร์ไถให้เตียนเป็นแนวรอบสวนป่า กว้าง 10-12 เมตร ซึ่งแนวกันไฟที่จัดทำไว้จะใช้เป็นทางตรวจการได้ด้วย
7.4 การชิงเผา สวนป่าที่มีวัชพืชหนาแน่นควรจะได้ถางแล้วเกลี่ยตากให้กระจายทั่วสวน แล้วชิงเผาในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดเชื้อเพลิงและป้องกันไฟไหม้สวนป่า
7.5 การตัดสางขยายระยะ สวนป่าแต่ละแห่งเมื่อมีอายุมากขึ้นต้นไม้จะขึ้นเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น ทำให้อัตราการเจริญเติบโตลดลง จึงต้องทำการตัดสางต้นไม้ออกเสียบางส่วนเพื่อขยายระยะห่างระหว่างต้นไม้ให้กว้างขึ้น ผลพลอยได้จากการตัดสางขยายระยะก็คือการขายไม้ที่ตัดออก ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนในการลงทุนทางหนึ่งก่อนจะถึงวัยตัดฟัน
8. การป้องกันโรค แมลงและศัตรูธรรมชาติ
ตะกูเป็นพรรณไม้เบิกนำซึ่งตามธรรมชาติจะขึ้นเป็นกลุ่มล้วน ๆ ฉะนั้นศัตรูธรรมชาติ เช่น โรคและแมลงจึงมีน้อยกว่าพรรณไม้ดั้งเดิมที่ชอบขึ้นเดี่ยว ๆ แต่อย่างไรก็ตามในที่ซึ่งไม้ตะกูขึ้นอย่างหนาแน่นอาจพบหนอนผีเสื้อ Arthroschita hilaralis (Pyralidae) เจาะทำลายบ้าง นอกจากนี้อาจพบนีมาโทดจำพวก Meloidogyne sp. เกาะทำลายเรือนรากทำให้ต้นไม้ตายได้ ในประเทศฟิลิปปินส์ จากการทดลองกับต้นตะกูอายุ 6 เดือน พบว่าตะกูส่วนใหญ่จะติดเชื้อด้วยโรคจากนีมาโทดชนิดนี้ และจากการใช้ยาดีดีทีในอัตรา 40 ลิตร/ไร่ ฉีดพ่นจะช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโตดีขึ้น
สำหรับโรคราในแปลงเพาะกล้าไม้ตะกูนั้น เท่าที่พบโรคเน่าคอดิน (damping off) จะเป็นอันตรายที่สุดในระยะเริ่มแรก Bholachai, P. (1976) พบว่า หากหว่านเมล็ดตะกูลงในพื้นที่ขนาด 30 x 45 ซม.2 โดยใช้เมล็ดหนักมากกว่า 3 กรัม แล้วจะทำให้เกิดโรคเน่าคอดินอย่างรุนแรง เนื่องจากกล้าไม้มีความหนาแน่นมากเกินไป และขนาดความหนาแน่นที่เหมาะสมที่สุดคือใช้เมล็ดหนักประมาณ 0.5-3 กรัม ต่อพื้นที่ขนาดดังกล่าว
9. การเจริญเติบโต
อัตราการเจริญเติบโตของไม้ตะกูในระยะแรก ๆ อาจช้า แต่ต่อมาจะเร็วมาก ภายหลังย้ายปลูกแล้ว 1 ปี อาจสูงถึง 3 เมตร อัตราการเจริญเติบโตทางความสูงโดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 2-3 เมตร/ปี ติดต่อกันไปนาน 6-8 ปี การเจริญเติบโตทางเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.3-7.6 ซม./ปี เมื่ออายุเลย 20 ปีแล้วอัตราการเจริญเติบโตจะลดลง Whitmore (1975) ได้รายงานว่าหากใช้รอบหมุนเวียน 30 ปี ต้นอาจโตถึงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 65 ซม. และสูง 38 เมตร ให้ผลผลิตประมาณ 350 ลูกบาศก์เมตร/เฮกตาร์ ในประเทศฟิลิปปินส์ Manzo et al. (1971) ได้บันทึกไว้ว่าตะกูสามารถเจริญเติบโตถึงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย 45 ซม. และสูง 12.6 เมตร ในเวลา 12 ปี ที่เปอร์โตริโก สวนป่าตะกูที่นำพันธุ์ไปจากเอเชียบางต้นหลังจากปลูกแล้ว 5 ปี มีความโตทางเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 38.10 ซม. และสูง 15 เมตร สำหรับในประเทศไทย ต้นตะกูที่โตเต็มที่ที่พบในป่าธรรมชาติมีขนาดโตทางเส้นรอบวงประมาณ 280 ซม. สูงประมาณ 27 เมตร และที่สวนป่าลาดกระทิง จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่ออายุประมาณ 6 ปีครึ่ง มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 12.62 เมตร มีความโตทางเส้นรอบวง 56.8 ซม. โดยให้ปริมาตร 10.88 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ หรือ 68 ลูกบาศก์เมตร/เฮกตาร์
10. การใช้ประโยชน์
ไม้ตะกูสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมได้หลายประเภท เช่น การทำไม้อัด ไม้บาง ก้านไม้ขีดไฟ ไฟเบอร์บอร์ด พาร์ติเคิลบอร์ด แปรงลบกระดาน และรองเท้าได้เป็นอย่างดี
การใช้ประโยชน์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งของไม้ตะกู ได้แก่ ใช้ในการทำเยื่อและกระดาษ ที่ประเทศฟิลิปปินส์พบว่าไม้ตะกู อายุ 3 ปี ก็สามารถนำเยื่อไปทำกระดาษเขียนหนังสือและกระดาษหนังสือออฟเสทที่มีคุณภาพดี และยังพบว่าไม้ตะกูเป็นเยื่อชั้นดีที่ให้ความเหนียวของกระดาษสูง
นอกจากนี้ตะกูยังมีคุณสมบัติดีเด่นในแง่ที่สามารถตัดให้แตกหน่อได้ดี จึงเป็นความหวังในอนาคตที่จะปลูกสร้างสวนป่าไม้ตะกูเพื่อเป็นแหล่งผลิตไม้แผ่นขนาดเล็ก ไม้ท่อน และทำเยื่อกระดาษ โดยใช้รอบตัดฟันเพียง 5-10 ปี และจากเอกสารไม้อัดไทยบางนาได้แนะนำว่า ไม้ตะกูเป็นความหวังใหม่ในอนาคตสามารถปลูกเป็นสวนป่าเอกชน เพื่อจำหน่ายในรูปไม้ซุงที่มีอนาคตสดใสมากที่สุดชนิดหนึ่ง
เอกสารอ้างอิง
ฝ่ายวนวัฒนวิจัย. 2526. เอกสารเผยแพร่ทางวิชาการป่าไม้ เล่มที่ 9 ไม้ตะกู. กองบำรุง กรมป่าไม้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรุงเทพ ฯ.
สมศักดิ์ สุขวงศ์. 2522. กระทุ่มน้ำ. การสัมมนาทางวนวัฒนวิทยาครั้งที่ 2 เรื่องไม้โตเร็ว. คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพ ฯ.
Bholachai, P. and I.L. Domingo. 1976. Density of sowing Anthocephalus chinensis Rich. ex Walp. Seeds. Pterocarous 1 : 68 – 70.
Manzo, P.M., R.C. Eala and A.P. Bati. 1971. Kaatoan bangkal for veneer and plywood manufacture. Phil. Lumberman 17 : 30 – 32.
Whitmore, T.C. 1975. Tropical rain forests of the far east.
ข้อมูล บ.ไม้สักหลวงไทยจำกัด
การลงทุนปลูกต้นตะกู 1 -5 ปี
ผลประโยชน์เจ้าของที่ดินที่ได้รับ (สมมติที่
ครบรอบ 1 ปี | บริษัทตัดต้นไม้ | 12,000 ต้น ๆ ละ | 60 x 12,000 | = | 720,000 บาท |
2 ปี | ” | 12,000 ต้น ๆ ละ | 60 x 12,000 | = | 720,000 บาท |
3 ปี | ” | 12,000 ต้น ๆ ละ | 60 x 12,000 | = | 720,000 บาท |
4 ปี | ” | 12,000 ต้น ๆ ละ | 60 x 12,000 | = | 720,000 บาท |
ปีสุดท้าย 5 ปี | ” | 12,000 ต้น ๆ ละ | 60 x 12,000 | = | 720,000 บาท |
ปีสุดท้าย 5 ปี | ตัดที่เหลืออีก | 4,000 ต้น ๆ ละ | 2,500 x 4,000 | = | 10,000,000 บาท |
รวม 5 ปี รับเงินทั้งสิ้น 13,600,000 บาท บริษัทฯ หักค่าดำเนินการไร่ละ 320,000 / คงรับเงินได้สุทธิ = 10,400,000 บาท |
@@@ บริษัทหักค่าดำเนินการทุกปีปีละ 320,000 x4ปี = 1,280,000 บาท ปีที่ 5 หักค่าดำเนินการที่เหลืออีก 1,920,000 บาท @@@
การลงทุนปลูกต้นตะกู 5 ปี
กรณีที่ 1 เกษตรกรให้บริษัทลงทุนให้ บริษัทคิดค่าใช้จ่ายและดำเนินการ ( ดำเนินการปลูก ติดสริงเกอร์ ให้ปุ๋ย)เป็นจำนวนเงินไร่ 320,000 บาท ทางบริษัทขอเรียกเก็บจากเกษตรกรก่อนไร่ละ 30,000 บาท ส่วนที่เหลือจะเก็บเมื่อตัดต้นไม้ เป็นจำนวนเงิน 290,000 บาท รวมเป็นเงินลงทุนทั้งหมด 320,000 บาท/ไร่ โดยบริษัทจะประกันราคารับซื้อต้นละ 2,500 บาท
ทุนปลูก 30,000 บาท/ไร่ 2x
หักค่าดำเนินการปีที่ 5 290,000 บาท
คงรับเงินได้สุทธิ 710,000 บาท
กรณีที่ 2 เกษตรกรซื้อต้นกล้าจากบริษัทต้นละ 10 บาท บริษัทจะประกันราคารับซื้อต้นละ 2,500 บาท โดยเกษตรกรดำเนินการลงทุนการปลูกเอง
หมายเหตุ
- ค่าดำเนินการที่บริษัทรับผิดชอบคือ การปรับหน้าดิน ติดสปริงเกอร์ ให้ปุ๋ย โดยเกษตรกรมีส่วนร่วมในการดูแลต้นไม้ อนึ่ง ไม้ที่ตัดไปนี้จะไปทำถ่านชีวมวล(Biomass Power) ทำกระดาษ เฟอร์นิเจอร์ และอุตสาหกรรมอื่น ๆ
- ในกรณีที่เกษตรกรซื้อต้นกล้าในราคา 10 บาท เกษตรกรต้องลงทุนการปลูกเอง บริษัทรับประกันราคาซื้อคืนเช่นกัน
- ไม้อายุ 1 ปี สูง 10 ม.ขึ้นไป ราคาประกัน ต้นละ 60 บาท
- ไม้อายุ 5 ปี เส้นรอบวง 150 ซม.วัดจากโคนต้น
กรณีที่ 3 - ถ้าเกษตรกรปลูกไปแล้วยินดีรับซื้อไม้คืน โดยทำสัญญา ต้นละ 5 บาท
หลักฐาน
1. สำเนาโฉนด นส.3 สปก.(ถ่าย หน้า-หลัง) หรือ ภ.บท.( ถ่ายบัตร) รับรองสำเนา ( ถ่าย 1 ชุด)
2. สำเนาบัตรประชาชน ( 1 ชุด)
3. สำเนาทะเบียนบ้าน (1 ชุด)
ดูรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://www.thaisakluangwood.co.th
บริษัท ไม้สักหลวงไทย จำกัด 349 หมู่ที่ 12 ต.เมืองปัก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา 30150
Tel.พิฐชญาณ์(ผู้จัดการฝ่ายการตลาด) 080-613-4196 : กิตติศักดิ์(ผู้จัดการฝ่ายพื้นที่) 086-048-0854
Office : โทร.:+66 (044) 283-987 ,+ 66 (044) 283-887 แฟกซ์: +66 (044) 283-988
ชื่อวิทยาศาสตร์ Anthocephalus chinensis (Lamk.) A. Rich. ex Walp. | |||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
ลักษณะต้นตะกู เป็นไม้ที่มีลำต้นสูงเปลา มีขนาดสูง 15-30 เมตร เนื้อละเอียดสีเหลืองนวล แข็งแรงน้ำหนักเบา เปลือกสีน้ำตาล ขรุขระเป็นร่องละเอียดตามแนวลำต้น ลักษณะกิ่ง แตกเป็นแนวทำมุมกับพื้นดินวางตำแหน่งเป็นคู่ในตำแหน่งตรงข้ามกันเป็นช่วงๆ ตามแนวลำต้นแต่ละช่วงสลับกัน ใบเป็นใบเดี่ยวทรงรีคล้ายใบสัก ผิวเนียนละเอียด หลังใบมองเห็นกระดูกใบชัดเจน ใบและก้านมีกลิ่นหอม โดยจะมีขนาดใบเฉลี่ยโดยประมาณ ด้านกว้าง 12-25 ซ.ม. ด้านยาว 18-30 ซ.ม. ดอกมีสีเขียวอมเหลือง เมื่อแก่จะกลายเป็นสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอม กลุ่มดอกลักษณะกลม ความโตประมาณ 3.5-7 ซ.ม. กลุ่มดอกจะออกในตำแหน่งปลายกิ่ง ในกลุ่มดอกมีกลีบดอกอัดแน่นจำนวนมาก แต่ละดอกมีกลีบดอก 5 กลีบ ใต้กลีบดอกมีกระเปาะเมล็ด 4 กระเปาะ มีเมล็ดข้างใน เมื่อผลแก่เต็มที่จะร่วงลงตามธรรมชาติ ซึ่งจะมีลักษณะเด่นดังนี้ โตเร็ว ต้นเปลา ตรง ไม่มีกิ่งตามต้นเกะกะเนื่องจากต้นไม้จะทำการสลัดกิ่งตลอดเวลาที่เจริญเติบโต | |||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
การเจริญเติบโต | |||||||||||||||||||||
อัตราการเจริญเติบโตของไม้ตะกูในระยะแรก ๆ อาจช้า แต่ต่อมาจะเร็วมาก ภายหลังย้ายปลูกแล้ว 1 ปี อาจสูงถึง 3 เมตร อัตราการเจริญเติบโตทางความสูงโดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 2-3 เมตร/ปี ติดต่อกันไปนาน 6-8 ปี การเจริญเติบโตทางเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.3-7.6 ซม. /ปี เมื่ออายุเลย 20 ปีแล้วอัตราการเจริญเติบโตจะลดลง Whitmore (1975) ได้รายงานว่าหากใช้รอบหมุนเวียน 30 ปี ต้นอาจโตถึงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 65 ซม. และสูง 38 เมตร ให้ผลผลิตประมาณ 350 ลูกบาศก์เมตร/เฮกตาร์ ในประเทศฟิลิปปินส์ Manzo et al. (1971) ได้บันทึกไว้ว่าตะกูสามารถเจริญเติบโตถึงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเฉลี่ย 45 ซม. และสูง 12.6 เมตร ในเวลา 12 ปี ที่เปอร์โตริโก สวนป่าตะกูที่นำพันธุ์ไปจากเอเชียบางต้นหลังจากปลูกแล้ว 5 ปี มีความโตทางเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 38.10 ซม. และสูง 15 เมตร สำหรับในประเทศไทย ต้นตะกูที่โตเต็มที่ที่พบในป่าธรรมชาติมีขนาดโตทางเส้นรอบวงประมาณ 280 ซม. สูงประมาณ 27 เมตร และที่สวนป่าลาดกระทิง จังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่ออายุประมาณ 6 ปีครึ่ง มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 12.62 เมตร มีความโตทางเส้นรอบวง 56.8 ซม. โดยให้ปริมาตร 10.88 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ หรือ 68 ลูกบาศก์เมตร/เฮกตาร์ | |||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
คุณสมบัติเนื้อไม้
ไม้ตะกูเป็นไม้ที่มีสีเหลืองนวล เนื้อไม้ละเอียด น้ำหนักเบา มีความแข็งแรงทนทาน เนื้อไม้มีความเหนียว ไม่แตกหักง่าย ขึ้นรูปง่าย มีคุณสมบัติป้องกันแมลง, มอด, ปลวก จึงเป็นที่นิยมนำมาสร้างบ้าน ทำไม้พื้น ไม้กระดาน โดยส่วนประกอบอื่นๆ เหมาะสำหรับทำเฟอร์นิเจอร์, เครื่องเรือน, เครื่องใช้ในบ้าน เพราะง่ายต่อการแปรรูป สามารถแปรได้ไม้หน้าใหญ่และยาว เนื่องจากตะกูจะทำการสลัดกิ่งตลอดเวลาที่มีการเจริญเติบโต ต้นจึงเปลาสูงทำให้ได้ขนาดและมีปริมาณเนื้อไม้มาก | |||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
การใช้ประโยชน์ | |||||||||||||||||||||
ไม้ตะกูสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมได้หลายประเภท เช่น การทำไม้อัด ไม้บาง ก้านไม้ขีดไฟ ไฟเบอร์บอร์ด พาร์ติเคิลบอร์ด แปรงลบกระดาน และรองเท้าได้เป็นอย่างดี การใช้ประโยชน์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งของไม้ตะกู ได้แก่ ใช้ในการทำเยื่อและกระดาษ ที่ประเทศฟิลิปปินส์พบว่าไม้ตะกู อายุ 3 ปี ก็สามารถนำเยื่อไปทำกระดาษเขียนหนังสือและกระดาษหนังสือออฟเสทที่มีคุณภาพดี และยังพบว่าไม้ตะกูเป็นเยื่อชั้นดีที่ให้ความเหนียวของกระดาษสูง
นอกจากนี้ตะกูยังมีคุณสมบัติดีเด่นในแง่ที่สามารถตัดให้แตกหน่อได้ดี จึงเป็นความหวังในอนาคตที่จะปลูกสร้างสวนป่าไม้ตะกูเพื่อเป็นแหล่งผลิตไม้แผ่นขนาดเล็ก ไม้ท่อน และทำเยื่อกระดาษ โดยใช้รอบตัดฟันเพียง 5-10 ปี และจากเอกสารไม้อัดไทยบางนาได้แนะนำว่า ไม้ตะกูเป็นความหวังใหม่ในอนาคตสามารถปลูกเป็นสวนป่าเอกชน เพื่อจำหน่ายในรูปไม้ซุงที่มีอนาคตสดใสมากที่สุดชนิดหนึ่ง | |||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
ถ่านชีวะมวล ให้พลังความร้อนสูงเท่ากับถ่านหิน ถ่านที่ไร้สารพิษ
| |||||||||||||||||||||
|
รายละเอียดของสินค้า: |
มีกล้าพันธ์ขายครับก้านแดงต้นละ 5 บาทครับสูง 8-10 นิ้วครับสั่งครับ ผม ปลูกแล้ว 100 ไร่ครับ |